ประวัติการออกอากาศ ของ ช่อง 7HD

ในปี พ.ศ. 2510 จอมพลประภาส จารุเสถียร ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น มีนโยบายให้คณะกรรมการควบคุมวิทยุและโทรทัศน์ของกองทัพบก ร่วมกับบีบีทีวี ดำเนินการติดต่อนำเครื่องส่งโทรทัศน์สี ของบริษัทฟิลิปส์แห่งฮอลแลนด์ ระบบแพร่ภาพ 625 เส้น 25 อัตราภาพ มาทดลองใช้งาน โดยบันทึกภาพการประกวดนางสาวไทย ภายในงานวชิราวุธานุสรณ์ ที่พระราชวังสราญรมย์ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน มาถ่ายทอดผ่านคลื่นวิทยุ ในย่านความถี่สูงมาก (VHF) ทางช่องสัญญาณที่ 7 และออกอากาศคู่ขนานด้วยระบบแพร่ภาพขาวดำ 525 เส้น 30 อัตราภาพ ทางช่องสัญญาณที่ 9[10] ในอีก 2 วันถัดมา คือวันที่ 27 พฤศจิกายน หลังจากนั้น ก็ยุติการแพร่ภาพชั่วคราว เพื่อดำเนินการในทางเทคนิค และเมื่อวันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม มีการประกอบพิธีสถาปนาบีบีทีวี และเริ่มออกอากาศช่อง 7 สีอย่างเป็นทางการ โดยในปีต่อมาคือ พ.ศ. 2511 คณะกรรมการฯ ทำสัญญาที่กำหนดให้บีบีทีวีจัดสร้างอาคารที่ตั้งช่อง 7 สี ภายในบริเวณที่ทำการสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 (ททบ.5) ย่านสนามเป้า พร้อมติดตั้งเครื่องส่งโทรทัศน์สีกำลังออกอากาศ 500 วัตต์ เพื่อมอบทั้งหมดให้แก่ ททบ.5 แล้วจึงทำสัญญาเช่าช่วงจาก ททบ. เพื่อบริหารงานอีกทอดหนึ่งเป็นระยะเวลา 10 ปี โดยใน 2 ปีแรกใช้บุคลากรและห้องส่ง ร่วมกับ ททบ. พร้อมทั้งนำรถประจำทางเก่าสามคัน เข้าไปจอดไว้ภายในที่ทำการ ททบ.5 สนามเป้า แล้วรื้อที่นั่งออกทั้งหมด เพื่อใช้ติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ไปพลางก่อน

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2512 บีบีทีวีจัดหาเครื่องส่งโทรทัศน์สีกำลังออกอากาศ 10 กิโลวัตต์ พร้อมเสาส่งสูง 570 ฟุต และเครื่องส่งวิทยุกระจายเสียง ระบบเอฟเอ็ม กำลังส่ง 1 กิโลวัตต์ เพื่อส่งมอบให้แก่ ททบ. ก่อนที่เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2513 บีบีทีวีจะย้ายเข้าใช้อาคารที่ทำการถาวรของช่อง 7 สี บริเวณหลังสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) แห่งเดิม (ปัจจุบันเป็นอาคารศูนย์ซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าบีทีเอส และลานจอดรถสำหรับผู้ใช้บริการรถไฟฟ้ามหานคร สถานีสวนจตุจักร)[11] และเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 เวลา 15:30 น. พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินไปยังช่อง 7 สี ทอดพระเนตรการแข่งขันมวยไทยและมวยสากล โดยเสด็จพระราชกุศล สมทบทุนนักมวยไทย ในมูลนิธิอานันทมหิดล พร้อมทั้งพระราชทานถ้วยรางวัล แก่นักกีฬามวยไทยและมวยสากลยอดเยี่ยม[12]

ต่อมาในปี พ.ศ. 2521 ททบ. ร่วมกับบีบีทีวี เช่าช่องสัญญาณดาวเทียมปาลาปาของอินโดนีเซีย เพื่อถ่ายทอดสัญญาณจากกรุงเทพมหานครไปสู่สถานีเครือข่ายทุกภูมิภาคเป็นสถานีแรกของประเทศไทย นอกจากนี้ยังเช่าสัญญาณดาวเทียมนานาชาติ (อินเทลแซท) ถ่ายทอดเหตุการณ์จากทั่วโลกมายังไทย และในเวลาใกล้เคียงกัน ก็ริเริ่มใช้รถถ่ายทอดสัญญาณดาวเทียมย่านความถี่สูง (เคยูแบนด์) และรถบรรทุกเครื่องถ่ายทอดนอกสถานที่ (โอ.บี.) ใช้ย่านความถี่ซีแบนด์ ทำหน้าที่เป็นสถานีแม่ข่ายชั่วคราว เพื่อถ่ายทอดสดงานประเพณีที่น่าสนใจ กีฬานัดสำคัญ และเหตุการณ์ในท้องที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ[11]

เมื่อวันที่ 26 - 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556 บีบีทีวีได้เข้าประมูลช่องโทรทัศน์ภาคพื้นดินระบบดิจิทัล ประเภทบริการทางธุรกิจระดับชาติ ในหมวดรายการทั่วไปความละเอียดสูง และได้ให้ราคาเป็นอันดับที่ 3 รองจากช่อง 3 เอชดี และพีพีทีวี จากนั้นเมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557 กสทช. ประกาศหมายเลขช่องที่แต่ละบริษัทซึ่งผ่านการประมูลเลือกไว้ ตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม ในการประชุมร่วมกัน โดยในส่วนของบีบีทีวีได้หมายเลข 35 จากนั้นบีบีทีวีได้เริ่มดำเนินการออกอากาศ ช่อง 7HD อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 เมษายน โดยออกอากาศเนื้อหาเดียวกับช่อง 7 สีทุกประการ เนื่องจากบริษัทที่ดำเนินการออกอากาศทั้ง 2 ระบบ เป็นบริษัทเดียวกัน[13] แต่ในส่วนของทีวีดิจิทัลนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกับสัญญาสัมปทานกับกองทัพบกแต่อย่างใด เนื่องจากดำเนินการภายใต้ใบอนุญาตจาก กสทช. ดังเช่นผู้เข้าประมูลทีวีดิจิทัลรายอื่น ๆ ทั่วไป[14]

การยุติการออกอากาศโทรทัศน์ระบบแอนะล็อก

สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ได้กำหนดการยุติการออกอากาศโทรทัศน์ระบบแอนะล็อก ก่อนสัญญาสัมปทานจะสิ้นสุดลง (สัมปทาน 25 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 ไปจนถึงปี พ.ศ. 2566) ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2560 โดยบีบีทีวีเห็นถึงความจำเป็นในการยุติการออกอากาศระบบแอนะล็อกเพื่อลดต้นทุนในการส่งสัญญาณ ประกอบกับโครงข่ายโทรทัศน์ภาคพื้นดินระบบดิจิทัลที่ช่อง 7HD เช่าใช้ร่วมกับ ททบ. ในฐานะเจ้าของอุปกรณ์รวมส่งสัญญาณ ให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศแล้ว[15] โดยเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2560 ใน 8 สถานี และวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560 ใน 11 สถานี และยุติการออกอากาศระบบแอนะล็อกโดยสมบูรณ์จากสถานีกรุงเทพมหานครในวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561 พร้อมกับสถานีอื่น ๆ อีก 18 สถานี (ดูในหัวข้อ สถานีถ่ายทอดสัญญาณ)[16] ทั้งนี้ พันธะผูกพันต่าง ๆ กับกองทัพบกในฐานะคู่สัญญาสัมปทานยังคงมีอยู่จนกระทั่งหมดสัญญาสัมปทาน[15][17]